2551-09-05

สิ่งทีได้รับจากวิชาเตรียมฝึกประสบการณ์วิชาชีพบริหารธุรกิจ

...วิชาเตรียมฝึกประสบการณ์วิชาชีพบริหารธุรกิจนี้เป็นการเรียนเพื่อพัฒนาตนเองเพื่อที่จะเตรียมตัวที่จะฝึกงานก่อนทำงานจริง

...ซึ่งผมจะแบ่งเป็นสัปดาห์ที่เรียนนะครับว่าในแต่ละสัปดาห์นั้นผมได้เรียนรู้อะไรบ้าง?

เรามาเริ่มในสัปดาห์ที่ 1 กันเลยดีกว่าครับ (2008-07-16)
...ในสัปดาห์นี้เป็นการปฐมนิเทศ เหมือนจะเป็นการรับน้อง ซึ่งเมื่อประธานได้กล่าวเริ่มพิธีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจบก็กล่าวก็มีการรับน้องเข้าสู่การเรียนวิชาเตรียมฝึกประสบการณ์วิชาชีพบริหารธุรกิจ ได้มีการแจกเทียน แล้วจุดเทียน จากนั้นได้มีการผูกข้อมือรับขวัญ เป็นการจบ การเรียนในวันนี้

...สิ่งที่ได้รับในวันนี้ก็คือ ได้เรียนรู้การทำพิธีว่าควรจะทำอย่างไรบ้าง เมื่อถึงเวลาของเรา เราควรจะทำอย่างไรในพิธีนี้ ซึ่งผมคิดว่าคงต้องมาถึงในเวลาที่ผมอยู่ปี4 อย่างแน่นอน

ในสัปดาห์ที่ 2 นี้เป็นการเรียนวันแรกของวิชานี้ (2008-07-23)
...เรื่องการประกันคุณภาพนักศึกษา ซึ่งจะกล่าวถึงว่าทำไมต้องมีประกันคุณภาพ ใครเป็นฝ่ายทวงสิทธิ์การประกันคุณภาพ แนวคิดเกี่ยวกับการประกันคุณภาพ

...สิ่งที่ได้รับจากวันนี้คือ การได้รู้ว่าการประกันคุณภาพเป็นอย่างไร

สัปดาห์ที่ 3 (2008-07-30)
...เรื่อง ภาษาอังกฤษและเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นการทบทวนเรื่อง Active กับ Passtive แล้วเรื่องการสร้างเวปไซด์ Explicit knowledge คืออะไร Weblog หรือ BLOG คืออะไร 7วิธีสร้างบล็อกอย่างมืออาชีพ การสร้างblog และสุดท้ายเป็นรายชื่อบล็อกของอาจารย์

...สิ่งที่ได้จากสัปดาห์นี้คือ ได้เรียนทบทวนและการสร้างบล็อกให้เป็น


สัปดาห์ที่ 4 (2008-08-06)
...เรื่อง การบริหารการเงินส่วนบุคคล ว่าด้วยเรื่อง ทำไมต้องออม? เพิ่มรายได้อย่างไร ลดรายจ่ายอย่างไร ประเด็นที่น่าสนใจ ทำไมต้องลงทุน...ออมอย่างเดียวไม่ได้ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง / Real lnterest Rate และ แผนสู่ความมั่นคง

...สิ่งที่ได้จากสัปดาห์นี้คือ ได้รู้ว่าการออมนั้นเป็นอย่างไร มีการออมอย่างไรบ้าง แล้วรู้วิธีการออมที่ถูกวิธี

สัปดาห์ที่ 5 (2008-08-13)
...เรื่อง การพัฒนาบุคลิกภาพ ได้เรียนเรื่อง คุณลักษณะของนักศึกษา คุณลักษณะบัณฑิตที่พึ่งประสงค์ ความหมายของบุคลิกภาพ ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาบุคลิกภาพ ความสำคัญของการมีบุคลิกภาพที่ดี องค์ประกอบของบุคลิกภาพที่ดี ซึ่งมีดังนี้ (1) สุขภาพ (2)กริยาท่าทาง (3)หลักการแต่งการในโลกธุรกิจ (4)เสียงพูด (5)การแต่งกาย (6)มารยาททางกาย (7)มารยาททางวาจา และ (8)หลักการแต่งกาย หัวข้อสุดท้ายจะเป็น 6 ข้อที่พึงกระทำในการทำงาน

...สิ่งที่ได้จากสัปดาห์นี้ จะได้ความรู้เรื่องต่างๆในการพัฒนาบุคลิกภาพของเราให้ดูยิ่งขึ้น ทำอย่างไรให้ดูดี แล้วนำเป็นใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่ว่าจะเป็นการเดิน กริยามารยาทต่างๆ และอื่นๆ

สัปดาห์ที่ 6 (2008-08-20)
...สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์สำคัญของแขนงคอมพิวเตอร์ธุรกิจ เพราะว่าทางแขนงจะจัดนิทรรศการ เป็นส่วนต่างๆของโครงการ ซึ่งโครงการนี้ผมได้เป็นพิธีกรภาคสนามด้วย ในงานนี้มีโครงการมากมายที่น่าสนใจ ให้ส่วนที่ผมทำคือ โครงการเทคโนโลยีการออกแบบลายผ้าบาติก ในงานนั้นจะมีการมอบเกียรติบัตรให้แก่นักศึกษาดีเด่น จากนั้นเป็นการ นำเสนอโครงการที่ผ่านการคัดเลือก มี 8 โครงการด้วยกัน เมื่อจบการนำเสนอ ผมซึ่งพิธีกรก็ดำเนินรายการต่อ ซึ่งรับหน้าที่แนะนำบูธต่างๆมีทั้งหมด38บูธ ด้วยกัน เมื่อได้ทำการแนะนำจนหมด ก็ได้มีกิจกรรมเล็กๆน้อย เพื่อเป็นสีสันให้กับงาน แล้วก็จบการจัดนิทรรศการในวันนี้

...สิ่งที่ได้รับจากงานวันนี้ นั้นได้รับประสบการณ์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการทำบูธของตัวเองซึ่งมีปัญหา เพราะว่าทำโครงร่างเสร็จแล้ว แต่ว่างานที่ทำไว้ โดนกวาดชะเรียบร้อย ตอนแรกก็โมโหแต่ว่าโมโหไปก็เท่านั้น นี้คือปัญหา ก็ต้องจัดการทำใหม่เพราะเวลานั้นไม่หยุดรอเรา แล้วก็แก้ไขโดยเสร็จ ทำให้รู้ว่าการทำงานทุกครั้งต้องมีปัญหา ซะนั้นเมื่อทำการใดๆก็ตามเมื่อทำเสร็จแล้วควรที่จะเขียนบอก เช่น การจัดโครงร่างในบูธเมื่อทำเสร็จ ควรจะเขียนบอกไว้ด้วยว่ายังต้องใช้งานในวันพรุ่งนี้หรืออย่าเปลี่ยนแปลงงานที่ได้ทำไว้กำกับไว้ด้วย ไม่เช่นนั้นจะไม่มีใครรู้ งานที่ทำอาจเสียหายได้ อย่างที่อาจารย์ปรมัตนั้นเคยบอกไว้เสมอ แล้วได้ประสบการณ์จากการเป็นพิธีกรหลายอย่าง

สัปดาห์ที่ 7 (2008-08-27)
...เรื่อง Generation and Marketing ซึ่งมี Generation ดังนี้ (1)Baby Boomers (2)Yuppies (3) Generation X (4)Generation Y (5)Generation Z (6)Generation C ซึ่งทำให้ทราบถึงข้อแตกต่างของ Generation ว่าควรที่จะเลือกกลุ่มไหน เจาะจงกลุ่มไหนในการขายสินค้าทางตลาด

...สิ่งที่ได้จากสัปดาห์นี้คือ การรู้ถึง Generation ต่างๆว่า Generation ไหนมีความต้องการแบบใดบ้าง


...ในการเรียน วิชาเตรียมฝึกประสบการณ์วิชาชีพบริหารธุรกิจ นั้นเป็นการทำให้ผมรู้ว่า การฝึกงานนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย แล้วยิ่งการทำงานจริงนั้นยิ่งยากกว่าหลายเท่านั้น สิ่งที่ผมได้เรียนรู้ในตอนนี้คือ Get To Know Yourself ความรู้ต้องเรียนรู้ด้วยตัวของคุณเอง....

2551-08-31

~รายละเอียดส่วนตัว~

...เมื่อก่อนผมเป็นคนไม่สนใจอะไรเลย ในชีวิต ม.ปลายนั้นผมสนใจแต่เรื่องกีฬาโดยเฉพาะกีฬาปิงปอง ตอนนั้นผมมั่นใจในฝีมือมากเพราะผมเป็นแชมป์ 5 สมัย จนคิดว่าถ้าไปในด้านนี้คงจะรุ่ง มาถึงม.6นั้นตอนนั้นใครๆก็คิดว่าผมต้องเป็นแชมป์อีก แต่สุดท้ายผมได้แพ้ให้กับรุ่นน้องได้เหรียญเงิน ผมเสียใจมากแล้วล้มเลิกความคิดในการเล่นปิงปองและเลิกไปในที่สุด จนมาถึงมหาลัยผมได้มาเรียนคอมพิวเตอร์ธุรกิจชีวิตในมหาลัยของผมสบายๆไม่เดือดร้อนอะไร ทำไรสบายๆ งานส่งบ้างไม่ส่งบ้าง เป็นอย่างนี้เป็นจนถึงปี 3 ซึ่งตอนนี้ผมได้สูญเสียคนสำคัญไป 2 คน ตอนนั้นผมเสียใจมาก ตอนนั้นผมเหมือนคนที่ล้ม แต่ผมไม่ยอมที่จะล้ม และผมก็ยืนมาด้วยตัวเองแล้วทำอะไรให้มันดีขึ้น ผมมองย้อนไปในอดีต คิดว่าตัวเองใช้ชีวิตที่ผ่านมาเหมือนสูญเปล่า แต่ผมก็คงจะแก้อดีตไม่ได้ ผมจึงพยายามที่จะทำสิ่งที่อยู่ในตอนนี้ให้ดีที่สุด ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่อยากประสบความสำเร็จ แต่มีคนที่อยากเห็นผมประสบความสำเร็จ นั่นคือ พ่อกับแม่ของผม ผมจึงได้เปลี่ยนตัวเองเป็นคนที่แสวงหาความรู้ต่างๆ สิ่งผมคิดตอนนี้มีอย่างเดียวนั้นคือเรียนให้ดีแล้วให้สูงๆ เพื่อที่จะได้มีการงานที่ดี และเลี้ยงดูพ่อแม่ให้ดีที่สุด ตอนนี้ผมกำลังเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้น แล้วคุณละทำสิ่งที่คุณคิดว่าดีที่สุดแล้วหรือยัง? ถ้ายังคุณคิดที่จะเริ่มเมื่อไหร่?

...ผมเป็นคนที่ชอบเล่นกีฬา ไม่ว่าจะเป็น ฟุตบอล(Football) เทนนิส(Tennis) ปิงปอง(TableTennis) ไม่นานมานี้ก็สนใจใน บาสเกสบอล(Basketball)แต่ว่าไม่มีเวลาที่จะฝึกให้มีทักษะ เพราะว่าวิชาเรียนที่ยากแล้วก็มีงานให้ทำมากตามไปด้วย แต่ในตอนนี้ความสนใจผมเป็นการเขียนโปรแกรม

...การเขียนโปรแกรมนั้น ใครๆก็จะคิดว่าเป็นสิ่งที่ยาก ในเมื่อก่อนผมก็คิดเช่นนั้น แต่พอมาทำเข้าจริงแล้วนั้นยิ่งยากว่าที่คิดมากนักในตอนแรก แต่เมื่อผมเริ่มเข้าใจในโปรแกรมแล้วความคิดของผมก็เปลี่ยนไปกลายเป็นว่า ผมสนใจในการเขียนโปรแกรมเข้าให้แล้ว แต่การเขียนโปรแกรมนั้นไม่เพียงแต่ต้องรู้ว่าโปรแกรมนี้มีการเขียนโค๊ดอย่างไร แต่ที่สำคัญคือการใส่ใจรายละเอียดของตัวแปรต่างๆ เพราะถ้าผิดเพียงตัวเดียวนั้นก็คือ ผิดพลาด (Error) เพราะฉะนั้นก็เขียนโปรแกรมก็นำความเข้าใจนี้มาใช้ในชีวิตประจำวันได้ คือ เราต้องเตรียมสอบอะไรให้ดีก่อนที่จะส่งอะไร หรือทำอะไร เช่น การส่งงาน อาจารย์ให้ส่งเป็นตัวใหญ่ แต่เราไม่ตรวจสอบให้ดีส่งเป็นตัวเล็ก ก็ทำให้เกิดปัญหาได้ ในไม่นานมานี้ก็ได้เรียนรู้เพิ่มเติมในเรื่องการเขียนเวปโดยใช้ PHP and MySQL

...PHP and MySQL นั้นเป็นโปรแกรมเขียนเวปที่สร้างในฐานข้อมูล(DataBase) การอบรมนั้นดำเนินการใน 2 วัน ในวันแรกที่ผมเข้าไปเรียนก็รู้สึกงงมาก แต่พอได้เรียนรู้ไปเรื่อยๆผมก็พอที่จะเข้าใจ ในวันแรกที่เรียนเป็นการสร้างฐานข้อมูล จากนั้นก็กำหนดแบบฟอร์มว่าในเวปของเรานั้นจะมีฟอร์มอะไรบ้าง จากนั้นก็เริ่ม ทำรายละเอียดต่างๆโดยการใช้โปรแกรม connectDBเป็นการเชื่อมต่อกับเวปไซด์ แล้วก็สร้าง การเพิ่มข้อมูลไปในเวป (Add) จากนั้นก็เชฟที่เราทำไว้ แล้วก็จบการอบรมในวันแรก มาถึงวันที่2 ก็ทำเรียนการ แก้ไขข้อมูล (Edit)แล้วก็ การลบข้อมูล(Delete) การลงรูปในเวปไซด์ แล้วก็จบการอบรม ดูเหมือนจะง่ายแต่ว่ามันมีรายละเอียดมากกว่านั้น ในข้างต้นที่ได้อธิบายไปเป็นส่วนย่อๆของการเขียนเวปไซด์ โดยใช้ PHP and MySQL ซึ่งถ้าจ
ะอธิบายให้เข้าใจทุกกระบวนการ 2 วันที่ได้ทำการอบรมคงยังไม่พอ




...สุดท้ายนี้ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับโปรแกรมหลายๆโปรแกรม ทำให้ผมคิดว่า ความรู้นั้นไม่ได้มาหาเรา ฉะนั้นเราต้องแสวงหาความรู้ด้วยตัวของเราเอง


2551-08-26

~สัจธรรมความตาย~

...ความตาย คือ การยุติ การทำหน้าที่ของวัยวะต่างๆของร่างกายลงอย่างสิ้นเชิง เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างหนึ่ง ที่เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ที่ยังไม่มีมนุษย์หรือสัตว์ชนิดใดจะข้มพ้น ปรากฏการณ์ธรรมชาตินี้ไปได้

...แม้ปัจจุบันนี้ วงการแพทย์มีความเจริญก้าหน้ามาก สามารถรักษา ซ่อมแซมส่วนต่างๆของร่างกาย เพื่อให้ทำหน้าที่ต่อ ไปได้ แต่ก็ทำได้เพียงช่วคราว พอไปถึงจุดหนึ่ง ก็ไม่สามารถจะแก้ไขต่อไปได้ก็จำเป็นต้องยุติการแก้ไข และชีวิตก็ถึงแก่ ความตาย
มองในแง่สัจธรรม ความตายเป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งของธรรมชาติที่เรียกว่า อนิจจัง ไม่เที่ยง ทุกขัง เป็นทุกข์ ทนได้ยาก อนัตตา ไม่มีตัวตนแก่นสารที่เที่ยงแท้ถาวร ล้วนต้องเป็นไปตามกฎธรรมชาติ โดยไม่มีการต้านทานให้คงทนได้

...หากมองตามกระบวนการปฏิจจสมุปบาทที่ว่า การเกิดขึ้นของขันธ์ห้าครั้งหนึ่ง เป็นการเกิด ความตายก็ได้แก่ ความดับ ไปของของขันธ์ห้า ของแต่ละครั้ง ตามกฎแห่งอิทัปปัจจยตาที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น และเมื่อหมดเหตุปัจจัยก็ดับไป



..ชาวพุทธที่ปฏิบัติวิปัสสนาเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า การเกิดดับ


..การเกิดขึ้น แห่งความรู้สึกว่า ตัวเรา ครั้งหนึ่ง นับเป็น การเกิดครั้งหนึ่ง


..เมื่อความรู้สึกว่า ตัวกู ดับไป นับเป็น ความตายครั้งหนึ่ง


..เมื่อไม่มีความรู้สึกว่า ตัวกู เกิดขึ้น ความตายก็ไม่มีเช่นกัน


..ความทุกข์จะเกิดขึ้นต่อเมื่อ มีความสำคัญมั่นหมายว่า การเกิดเป็นของเรา เราต้องเป็นอย่างนั้น เราต้องเป็นอย่างนี้ เมื่อความรู้สึกว่า ตัวเรา ของเราดับไป ความทุกข์ก็พลอยดับไปด้วย



..ความทุกข์จึงมิได้เกิดขึ้นเป็นประจำ แต่จะเกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราวเมื่อเกิดความสำคัญมั่นหมายว่า เราเป็นนั่นเป็นนี่

..กล่าวโดยย่อ ขันธ์ห้าที่มีอุปาทาน เป็นความทุกข์ ถ้าไม่มีอุปาทานก็ไม่มีทุกข์


..ขณะเดียวกันเมื่อสำคัญมั่นหมายว่า เราตาย หรือ ความตายเป็นของเรา แล้วเกิดความรู้สึกไม่อยากตายขึ้นมา ก็เป็น ความทุกข์


..เพราะความตาย เมื่อไม่มีความรู้สึกว่า ความตาย เป็นของเราก็ไม่มีความทุกข์เพราะความตาย


..จุดหมายสูงสุดของการปฏิบัติธรรมจึงอยู่ที่ความระมัดระวังไม่ให้มีการเกิด เมื่อไม่มีการเกิด ความตายก็จะไม่มี


...ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตาย ฝ่ายร่างกายที่ปรากฏให้เห็นกันอยู่โดยทั่วไป แท้จริง มิใช่ของเรา เป็น ของธรรมชาติ ที่กำลัง เป็นไปตามเหตุปัจจัยที่ควบคุมโดยกฎธรรมชาติเท่านั้น


..เมื่อทำหน้าที่ด้วยใจบริสุทธิ์ หยุดเกิดหยุดตาย ด้วยอำนาจของกิเลสตัณหา ก็เรียกว่านิพพาน คือ ความเย็น





โดย.....ดร.พระมหาจรรยา สุทธิญาโณ
จากเวปไซด์ http://www.siammedia.org/articles/dhamma/20080815.php

2551-08-25

~สัจจธรรมจากความมืด~

...ความมืดเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นมาคู่กับความสว่าง ความสว่างเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นมาควบคู่กับความร้อน ความอบอุ่นจากพลังงานที่ได้จากดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นสิ่งที่ให้กำเนิดแก่โลก และดาวพระเคราะห์ต่างๆ ในสุริยจักรวาล ทั้งเป็นสิ่งที่ให้กำเนิดชีวิต และสร้างความเจริญงอกงามให้แก่พืช และสัตว์ในมนุษยโลกมาตั้งแต่ต้น ชีวิตของเรายกเว้นสัตว์ และพืชบางประเภทจะขาดแสงสว่างของดวงอาทิตย์ไม่ได้ ในตอนกลางคืน เมื่อสิ้นแสงอาทิตย์ ความมืดจะเกิดขึ้น ในบางโอกาส เราจะได้แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ซึ่งสะท้อนผ่านดวงจันทร์มายังโลกในวันข้างขึ้น และข้างแรมอ่อนๆ เมื่อโลกได้มีวิวัฒนาการ มนุษย์จึงได้คิดสร้างแสงสว่างจำลองขึ้นเพื่อใช้ทดแทนความสว่างของแสงอาทิตย์ที่หมดไปในเวลากลางคืน โดยการก่อกองเพลิงสุมไฟ และในโอกาสต่อมา ได้วิวัฒนาการโดยการสร้างเป็นประทีปที่ให้ความสว่างขึ้น อาทิ ไต้ เทียน ตะเกียง หลอดไฟฟ้า เป็นต้น ทุกชีวิตจะตื่นขึ้น เมื่อดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า และลงมือกระทำกิจกรรมต่างๆ ตาม ภารกิจหน้าที่ของตน และใช้เวลากลางคืนที่ปลอดจากความสว่างส่วนหนึ่งเพื่อการพักผ่อนหลับนอน

...ทั้งความสว่าง และความมืด จึงมีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์ สัตว์ และพืชโดยตรง โดยเฉพาะมนุษย์ และสัตว์ที่มีสมอง มีจิตวิญญาณ ความสว่าง และความมืดได้มีบทบาทสำคัญในการสร้างอารมณ์ให้แก่สัตว์โลกเหล่านี้ในรูปแบบต่างๆ มนุษย์ปุถุชนธรรมดาทั่วไปมีความพึงพอใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ในความสว่าง และความอบอุ่น ในเวลากลางคืนวันเพ็ญ พระจันทร์เต็มดวง ทุกชีวิต โดยเฉพาะชาย หญิงที่กำลังตกอยู่ในความรัก จะมีความสุข รื่นรมย์ กับธรรมชาติมากเป็นพิเศษ ไม่มีผู้ใดที่จะชอบความมืด เพราะความมืดเป็นอุปสรรคสำคัญ เป็นสิ่งที่ปิดบังทำให้เราไม่รู้เห็นในความถูกต้อง ความเป็นจริงซึ่งอยู่รอบตัวเรา เว้นแต่ผู้ที่มีจิตเจตนาจะก่ออกุศลกรรม ทำบาป ทำชั่ว เป็นผู้ประกอบมิจฉาชีพ เป็นอาชญากร จะพอใจที่จะอาศัยความมืดเป็นที่แอบแฝงกำบังในการประกอบกรรมชั่วของตน
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้แจ้งเห็นจริงในแก่นแท้ที่สุดของความจริงในสภาวธรรมนี้ จึงได้ทรงสมมุตินามบัญญัติของสิ่งที่เป็นเสมือนกับความมืด ซึ่งปิดบังมิให้สัตว์โลกได้เห็นสภาวธรรมที่ถูกต้องตามความเป็นจริง ว่า "อวิชชา" ซึ่งเป็นคำศัพท์บาลีแปลว่า "ความไม่รู้"

...อวิชชา มีอิทธิพลสำคัญยิ่งต่อจิตวิญญาณ เพราะเป็นกลไกที่จะโน้มนำจิต สร้าง เจตนาให้มีการก่อกรรมทำชั่วทั้งกาย วาจา และใจ ที่เจ้าของจิตกระทำไปเช่นนั้น เพราะเจ้าตัวขาดสติ ขาดปัญญา ไม่รู้ว่าสิ่งใดดี สิ่งใดชั่ว สิ่งใดผิด สิ่งใดถูก ไม่รู้บาปบุญคุณโทษ ไม่มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป ซึ่งเป็นผลมาจากกิเลสสำคัญ คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง
อวิชชานี้เองที่เป็นปัจจัย เป็นต้นเหตุสำคัญที่เกื้อหนุน เอื้ออำนวยให้สัตว์โลกต้องวนเวียนมาเกิด ตายไม่มีที่สิ้นสุดเพื่อรับผล หรือ วิบากของกรรมที่ตนได้กระทำขึ้นเพราะความไม่รู้นั่นเอง พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงคำสอนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ในหัวข้อเรื่อง "ปฏิจจสมุปบาท" ซึ่งอาจจะสมมุติบัญญัติเป็นภาษาง่ายๆว่า "วงจรการเกิดดับของชีวิต" ก็คงจะไม่ผิดนัก
จุดเชื่อมต่อของ "วงจรการเกิดดับของชีวิต"ดังกล่าว ที่ได้แสดงไว้ในพระอภิธรรมมีอยู่ ๑๒ จุดด้วยกัน เริ่มตั้งแต่ อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป …..ไปจนถึงชาติ ชรา มรณะ เป็นที่สุด แล้วจึงกลับมาเริ่มต้นใหม่ที่ อวิชชา อีกครั้งหนึ่ง เป็นไปในลักษณะนี้ไม่มีที่สิ้นสุด

โดย พลตำรวจตรี สุชาติ เผือกสกนธ์
จากเวปไซด์
http://www.dabos.or.th/tm24.html

*********************